Hyperspace คือสิ่งที่สำคัญมากในจักรวาล Star Wars ถ้าไม่มีมัน ทุกคนจะไม่สามารถเดินทางออกจากดาวตัวเองได้ไกลนัก ว่าแต่คุณรู้หรือไม่ ว่า Hyperspace เกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ และมันทำงานยังไง วันนี้เรามาหาคำตอบกัน...























HYPERSPACE ตอนที่ 1 ไขความลับวิทยาการความเร็วเหนือแสงในแห่ง Star Warsสิ่งนึงโด่งดังมากใน Star Wars ก็คือเรื่องการเดินทางด้วย Hyperspace มันเป็นหนังเรื่องแรกที่มีการถ่ายทอดความรู้สึกของการเดินทางที่ความเร็วเหนือแสงให้กับคนดู ซึ่งวันนี้คุณจะได้รู้จักโลกของ Hyperspace และหลักการทำงานของมันกันก่อนจะเล่าต่อในจักรวาล Star Wars เราต้องเข้าใจเรื่องความเร็วแสงในโลกของเรากันก่อน ความเร็วแสงคืออะไร? มันคือความเร็วที่แสงเดินทางเทียบกับระยะทาง ซึ่งเท่ากับ 186,000 ไมล์ต่อวินาที เน้นว่า ต่อ 'วินาที' หรือเท่ากับ 299,460 กิโลเมตร/วินาทีเพื่อให้พอเข้าใจมากขึ้น ลองมาดูตัวอย่างเทียบกับระยะทางจริงของดาวที่อยู่ใกล้ตัวเรากันหน่อย พระจันทร์อยู่ห่างจากโลก 402,500 km ซึ่งแสงจากดวงอาทิตย์ที่สะท้อนกับผิวของดวงจันทร์ จะใช้เวลา 1.3 วินาที ในการเดินทางมาที่พื้นของโลกเราส่วนพระอาทิตย์นั้น อยู่ห่างออกไป 149,730,000 km ซึ่งแสงต้องใช้เวลาถึง 8 นาที 20 วินาที กว่าจะเดินทางถึงโลก ฟังดูไม่เร็วเท่าไหร่ มาลองดูกันต่อ ดาวฤกษ์อีกดวงที่อยู่ใกล้ที่สุด (ดาวที่เปล่งแสงเหมือนดวงอาทิตย์) นอกเหนือจากดวงอาทิตย์ชื่อว่าดาว Proxima Centuri อยู่ห่างออกไป 39,852,000,000,000 km หรือ สามสิบเก้าล้าน แปดแสน ห้าหมื่น สองพัน ล้าน ล้าน กิโลเมตร เป็นจำนวนที่อ่านแล้วลายตามาก ดังนั้นจึงมีการตั้งหน่วยให้ระยะทางสำหรับการเดินทางของแสงเพิ่มที่เรียกว่า ปีแสง ซึ่งในที่นี้ คือ 4.22 ปีแสงหมายความว่า แสงจากดาว Proxima Centuri ต้องใช้เวลา 4.22 ปี เพื่อเดินทางมาถึงโลก แปลว่าภาพของดาวที่เรามองดูมันตอนนี้ คือภาพในอดีตเมื่อ 4.22 ปีที่แล้วโลกของเราอาศัยอยู่ในกาแล็กซี่ที่ชื่อว่า Milky Way Galaxy ซึ่งมีดาวฤกษ์อยู่อย่างน้อยเป็นจำนวน 1-2 แสนล้านดวง ซึ่งหากแสงต้องเดินทางจากฟากนึงไปอีกฟากนึงของกาแล็กซี่นั้น มันต้องใช้เวลานานถึง 100,000 ปีเพื่อขยายความตื่นเต้นของคุณไปอีก กาแล็กซี่อีกแห่งนึงที่ใกล้เรามากที่สุด ชื่อว่า Andromeda Galaxy ซึ่งอยู่ห่างจากกาแล็กซี่ของเราถึง 2.5 ล้านปีแสง (Andromeda Galaxy มีดาวฤกษ์อยู่ประมาณ 1 ล้านล้านดวง)แปลว่าสิ่งที่เรามองอยู่ตอนนี้คืออดีตเมื่อ 2.5 ล้านปีที่แล้ว ซึ่งบางทีมันอาจจะไม่อยู่ตรงนั้นแล้วก็ได้ มีการนับคร่าวๆ ว่าในอวกาศนั้นมีกาแล็กซี่อยู่มากถึง 1-2 ล้านล้านกาแล็กซี่ ซึ่งแต่ละกาแล็กซี่ก็มีดาวอยู่นับล้านล้านดวง ถึงตอนนี้ คุณคงพอจะเห็นภาพความกว้างใหญ่ของจักรวาลบ้างแล้วแล้วมนุษย์เราสามารถเดินทางได้เร็วกว่าแสงหรือไม่? คำตอบคือ 'ไม่!' ถ้าตอบให้ดีกว่านี้คือ 'ยังไม่ได้ตอนนี้' อย่างน้อยก็จากความรู้ทั้งหมดที่เรามีตอนนี้ เพราะมันต้องใช้พลังงานที่มากจนเป็นอนันต์ (ไม่มีที่สิ้นสุด) ในการทำให้มวลสารเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสงส่วนเรื่องความสัมมพันธ์ระหว่าง เวลา ความเร็ว และระยะทางนั้น Einstein ได้พิสูจน์แล้วว่าเวลานั้นเดินไม่คงที่ แต่เวลาจะเปลี่ยนแปลงไปตามความสัมพันธ์กับความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุ เทียบกับสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวมัน สิ่งนี้เรียกว่า Time Dilation หรือ การขยายตัวของเวลาการขยายตัวของเวลา คือ ความแตกต่างของเวลาที่ผ่านไป เทียบกับการรับรู้จาก 2 ตำแหน่งที่ต่างกัน ซึ่งอาจจะเกิดจากความเร็วสัมพัทธ์ที่ต่างกันของสองวัตถุ หรือ แรงโน้มถ่วงสัมพัทธ์ที่ต่างกันของสองวัตถุก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น...ถ้า Han Solo เดินทางจากโลกไปยัง Proxima Centuri (ดาวฤกษ์เพื่อนบ้าน) ด้วยความเร็ว 99.1% ของแสง เค้าจะหายไปจากโลกประมาณเกือบ 9 ปีก่อนจะกลับมา ถ้านับจากฝั่งเรา ซึ่งอยู่บนโลก แต่สำหรับ Han นั้น เค้าจะใช้เวลาบน Falcon เพียง 1 ปีครึ่งในการเดินทางไปกลับเท่านั้น ซึ่งถ้าเราเอากฎนี้ไปใช้กับ Star Wars ตัวละครแต่ละตัวจะอายุแตกต่างกันมากจนวุ่นวายน่าดูถ้าไม่เชื่อให้ดูจากดาวเทียมทุกดวงที่โคจรบนโลกของเรา พวกมันได้คำนวณเผื่อการขยายตัวของเวลาไว้แล้ว เช่นนาฬิกาบนดาวเทียม GPS จะเดินเร็วกว่านาฬิกาบนโลก 38 microsec/วัน (38 ส่วนในล้านส่วนของวินาทีต่อวัน)
ถ้าหากไม่มีการคำนวณเผื่อ เพื่อให้เวลาเดินเท่ากันตอนที่ออกแบบดาวเทียมล่ะก็ ระบบทั้งหมดจะใช้การไม่ได้ภายในไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ ตอนนี้คุณน่าจะพอเข้าใจคอนเสปเรื่องการเดินทางด้วยความเร็วแสงบนโลกของเราแล้ว ต่อไปเรากลับมาที่โลกของ Star Wars กันดีกว่า
ถ้าจะเริ่มให้สนุก เราต้องเริ่มจากประวัติของ Hyperspace กันก่อน เราเห็นแล้วว่า Hyperspace สำคัญขนาดไหน ถ้าไม่มีมัน คงไม่มีการเดินทางไปมาทั่วกาแล็กซี่ได้ เพราะต้องใช้เวลาหลายปี หรือหลายชั่วอายุเพียงเพื่อจะเดินทางไปหาดาวอีกดวง
สืบเนื่องจาก Legends เมื่อ 1,000,000 BBY (ปีก่อนการรบที่ดาว Yavin) สปีชีย์ที่ชื่อ Celestials (เซเลซทีออลส์) ซึ่งเป็นสปีชีย์ที่เชื่อกันว่าได้สร้างดาวเคราะห์ประดิษฐ์และจัดวางสปีชีย์ต่างๆ ไว้ทั่วกาแล็กซี่
ได้พัฒนา Tractor Beam พิเศษขึ้นมา ซึ่งสามารถเคลื่อนย้ายวัตถุผ่านความเร็วเหนือแสงได้ ในตอนนั้นอุปกรณ์นี้ใช้พลังงานจาก Gravity Wells หรือหลุมโน้มถ่วง ซึ่งช่วงแรกๆ พวกเค้าทำได้แค่ใช้มันเคลื่อนย้ายยานลำ เล็กๆ ไปทั่วกาแล็กซี่เท่านั้น
แต่พวกเค้าก็ใช้คิดค้นต่อจนสามารถสร้าง Tractor Beam ที่ใหญ่กว่า และอำนาจดูดแรงกว่า จนในที่สุด สามารถใช้มันเคลื่อนย้ายดาวเคราะห์ได้ทั้งดวง
หนึ่งในนั้นคือ Centerpoint Station ซึ่งยังคงถูกใช้งานต่อ 1 ล้าน ปี หลังจากนั้น ที่ระบบดาว Corellia
สปีชีย์ต่อมาที่คิดค้น Hyperspace ได้คือสปีชีย์เก่าแก่ชื่อว่า Gree (กรี) แต่พวกเค้าสร้างเป็นประตู Hypergate แทน แต่ก็ใช้หลักการเดียวกัน ซึ่งทำให้สามารถเดินทางได้ถึงแทบจะทันที (เช่นที่เราเห็นในซีรีย์ Rebel)
และในช่วงเวลาเดียวกัน สปีชีย์ชื่อ Kwa (ควา) ได้พัฒนาสิ่งที่ทำงานคล้ายกัน แต่พวกเค้าเรียกว่า Infinity Gate เมื่อไหร่ที่ชาว Kwa พบกับสปีชีย์โบราณ พวกเค้ามักจะให้คำแนะนำ ทั้งเรื่องเทคโนโลยี และเรื่องของ Force เพื่อช่วยยกระดับความเป็นอยู่ให้
ซึ่งที่ดาว Lehon ชาว Kwa ได้พบกับชาว Rakata (ราคาต้า) สปีชีย์ครึ่งบกครึ่งน้ำรูปร่างคล้ายมนุษย์ ซึ่งก็เหมือนกับที่เคย ชาว Kwa ได้สอนเรื่องเทคโนโลยี และเรื่องพลังให้กับพวก Rakata
แต่ที่ชาว Kwa ไม่รู้คือพวก Rakata เป็นพวกโหดเหี้ยม และชอบบุกล่าอาณานิคม กว่าจะรู้ก็สายเกินไปแล้ว เพราะพวก Rakata ได้พัฒนาเทคโนโลยีทันชาว Kwa และเรียนรู้การใช้พลังเพื่อเริ่มโจมตีพวกเค้าไปแล้ว
ชาว Kwa พยายามปิดประตู Infinity Gate แต่ก็สายไปแล้ว Rakata ได้เริ่มโจมตีดาวอื่นๆ ผ่านประตู และเริ่มสร้างอาณาจักร Rakata Empire และพวกเค้าก็ได้ครอบครองดาวเกือบทั้งระบบในกาแล็กซี่
แน่นอนว่าสปีชีย์ที่ด้อยกว่าอย่างมนุษย์ ก็ถูกจับเป็นทาสทั้งหมด ต่อมา พวก Rakata ก็ได้ออกแบบเทคโนโลยีสำหรับสปีชีย์ตัวเอง เพื่อให้พลังงานจากพลังด้านมืดเท่านั้น
พวกเค้าได้ใช้เทคโนโลยีนี้ บุกรุก กดขี่ และยึดครองกาแล็กซี่ต่อไปได้นานถึง 10,000 ปี และหนึ่งในเทคโนโลยีที่พวกเค้าคิดค้นขึ้น ก็คือ Hyperdrive ที่เป็นต้นแบบให้ Hyperdrive ในยุคถัดมามาหลังจากนั้น
ไม่นานหลังจากการยึดครอง ชาว Rakata ก็ได้เผชิญกับโรคติดต่อลึกลับครั้งใหญ่ ซึ่งโรคร้ายได้ทำให้พวกเค้าเริ่มสูญเสียความสัมพันธ์กับพลังไป ซึ่งยุติความสามารถในการใช้เทคโนโลยีของพวกเค้าเองไปในที่สุด
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการรุกฮือของเหล่าทาส และเชลยศึกทั่วทั้งกาแล็กซี่ ซึ่งในที่สุดก็สามารถโค่นล้มจักรพรรดิของ Rakata ได้ ทำให้พวกเค้ากลับมามีอิสระอีกครั้ง และเริ่มทำการวิจัยวิศวกรรมผันกลับ (Reverse Engineering) บนเทคโนโลยีของพวก Rakata
เรื่องราวความสนุกนั้นยังเหลืออีกมาก น่าเสียดายที่สัปดาห์นี้ต้องจบลงตรงนี้ก่อน หากคุณอยากอ่านตอนต่อไปก็อย่าลืมโหวตได้ที่ท้ายโพส หรือถ้าคุณอยากอ่านเรื่อง B2 ก่อน ก็สามารถโหวตให้ B2 เป็นสัปดาห์หน้าแทนได้เช่นกัน